[Saint Seiya Fanfiction] To the falling stars
[ฟิคฉลองวันเกิด...อยากจะเขียน]นาทีนั้นไม่ว่าจะเป็นเซนต์หรือไม่ ไม่ว่าจะมีความรู้หรือวิชามากมายเพียงใดก็ล้วนไร้ผล เขากำลังจะตายหรือ... จะตาย เหมือนอาจารย์
ผู้เข้าชมรวม
381
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
Saint Seiya Fanfiction
เมื่อหลายปีที่แล้วใครสักคนเขียนไว้ว่า หากท่านมูพูดเรื่องที่เกิดขึ้น ไอโอรอสอาจจะไม่ต้องตาย และพวกเซย่าอาจจะไม่ต้องลำบากลำบนไต่วิหาร 12ราศี และโกลด์เซนต์บางคนก็อาจไม่ต้องสละชีวิต
ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย... และทำให้คิด (มโนไปเอง) มาตลอดว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แม้จะไม่ครบถ้วนกระบวนความนัก (เพราะกลัวจะเวิ่นเว้อไปมากกว่านี้)
...
แต่นี่คือมโนของข้าพเจ้า
...
This dream has haunted me for so long.
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คืนนั้นสายลมเย็นสดชื่นพัดผ่านมายังแซงค์ทัวรี่เป็นครั้งแรกในรอบปี และเป็นครั้งแรกที่ชิออนอนุญาตให้ศิษย์ตัวน้อยของตนขึ้นไปนั่งดูดาวบนสตาร์ฮิล
"และตรงนั้นคือหมู่ดาวเปกาซัส" ชิออนชี้ไปยังกลุ่มดาวใกล้เส้นขอบฟ้าทิศตะวันตก ปรากฏดาวสี่ดวงเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ "เจ้าจำตำนานของเปกาซัสได้ใช่ไหม มู"
ศิษย์ของท่านพยักหน้าแรง ๆ ทั้งรอยยิ้มกว้าง ช่วงหลังมานี้ ท่านอาจารย์ของเขามีงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาได้นอนพัก เนื่องด้วยองค์เทพีอาธีน่าซึ่งเพิ่งจุติลงมาเป็นสัญญาณว่าเวลาแห่งการศึกกับยมเทพใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว ชิออนซึ่งรั้งตำแหน่งเคียวโกจึงมีงานล้นมือ ทั้งการวางกลยุทธ์ในการทำศึก การเฟ้นหาเซนต์ผู้มีฝีมือมาครอบครองชุดคลอธตามแต่ละกลุ่มดาว รวมทั้งการเลือกตัวผู้จะมาเป็นเคียวโกคนต่อไป
"กำเนิดจากเลือดของเมดูซา นางปิศาจกอร์กอน และเป็นผู้ช่วยให้เพอซิอุสทำภารกิจสำเร็จ" ชิออนเล่าเรื่องด้วยเสียงแหบพร่าเนื่องด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดหลายวัน ศิษย์ตัวน้อยเห็นอาจารย์ดึงผ้าคลุมไหล่ไปมาอย่างไม่ถนัดนัก ด้วยอีกมือหนึ่งถือหนังสือดาราศาสตร์เล่มหนา มิใช่ว่าท่านไม่ถนัดในดาราศาสตร์ ทว่าวิธีการสอนของท่านมักเป็นเช่นนี้เอง มูจึงลุกขึ้นช่วยจับผ้าคลุมไหล่ให้ เคียวโกผู้เฒ่ายิ้มขอบใจศิษย์ “มูเอ๋ย ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาถ่ายทอดวิชาให้เจ้าเพิ่มเติมเลย ทั้งที่เจ้าติดตามข้ามายังแซงค์ทัวรี่แห่งนี้เพื่อการร่ำเรียนแท้ ๆ”
ศิษย์ตัวน้อยของท่านส่ายศีรษะแรง ๆ ของมือของเด็กชายกำชายผ้าคลุมไหล่ของผู้อาวุโสกว่าไว้แน่น “ไม่เลยขอรับ ท่านอาจารย์ แค่ตามท่านมาที่นี่ ข้าก็ได้เรียนรู้อะไรมากกว่าเมื่อครั้งอยู่ที่จามิลแล้ว”
เคียวโกลูบศีรษะศิษย์ของท่านด้วยนึกเอ็นดูนัก แล้วจู่ ๆ ท่านก็นึกสะท้อนใจว่า ท่านฮาเคร อาจารย์ของท่านจะเคยรู้สึกเช่นนี้ไหมนะ รู้สึกว่าศิษย์ของท่านน่ารักน่าเอ็นดู
“เจ้าช่างเป็นเด็กดี” ชิออนว่าและศิษย์ของท่านก็ยิ้มรับอย่างเริงร่า ท่านมองรอยยิ้มบนใบหน้าค่อนข้างกลมด้วยยังไม่พ้นวัยไร้เดียงสาของศิษย์แล้วก็นึกเศร้าใจ มูเพิ่งอายุครบเจ็ดปีทว่าในยามอยู่ต่อหน้าผู้คนกลับต้องตีหน้าเคร่งขรึม วางตนออกห่างจากสหายวัยเดียวกันด้วยมีตำแหน่งเป็นศิษย์ของเคียวโก จึงต้องปฏิบัติตนให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งที่หากยินดี ก็สามารถยิ้มได้น่าเอ็นดูถึงเพียงนี้แท้ ๆ
พลันท่านก็หวนนึกไปถึงสหายอีกคน สหายผู้ล่วงลับไปในศึกเมื่อสองร้อยหลายสิบปีก่อน สหายผู้งดงามหากต้องวางตนห่างจากผู้อื่น อัลบาฟีก้าเอ๋ย หวังว่าดวงวิญญาณของเจ้าจะไปสู่สุขคติ
...ทว่าท่านก็รู้ดีว่าวิญญาณของเซนต์ผู้ต่อต้านจอมเทพแห่งยมโลก จะไม่มีวันได้ไปสู่สุขคติ
“ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปขอรับ” เสียงเรียกของศิษย์ตัวน้อยเรียกสติท่านให้กลับคืน เคียวโกเฒ่าส่ายศีรษะเบา ๆ
“ข้าเพียงเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้น วันนี้พวกเราพอแค่นี้ก่อนก็ได้นะขอรับ” แม้ซอกมุมหนึ่งในใจจะอยากรั้งตัวอาจารย์ไว้อีกนาน ๆ แต่มูก็รู้ดีว่าการทำแบบนั้นเป็นเรื่องไม่สมควร ชิออนชรามากแล้ว มากยิ่งกว่าที่มนุษย์คนใดจะสมควร หากเขาอยากจะถนอมท่านให้อยู่ข้างกายไปอีกนาน ๆ เขาก็ควรจะให้ท่านพักผ่อนมาก ๆ
ชิออนมองดวงหน้าของศิษย์ซึ่งหมองไปถนัดใจแล้วยิ้มอย่างรู้เท่าทัน “หากได้จิบชาร้อน ๆ สักหน่อย ข้าคงหายเหนื่อยขึ้นมาก”
สีหน้าของศิษย์ท่านกระจ่างขึ้นทันใด
“เช่นนั้นข้าจะไปชงมาให้ท่านเองขอรับ”
แล้วมูก็กระโจนแผล็วจากที่นั่งข้างอาจารย์ วิ่งลงไปตามบันไดสูงชันของสตาร์ฮิลสู่วิหารเคียวโก เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องครัว หากระหว่างทางเดินนั้น เขาเหลือไปเห็นเงาของใครคนหนึ่งเดินผ่านโถงทางเข้าห้องเคียวโกไป
“ซากะนี่ ดึกดื่นป่านนี้มาทำอะไรอยู่แถวนี้นะ”
ว่าจบก็นึกเป็นห่วงอาธีน่าขึ้นมาครามครัน มูจึงมุ่งหน้าไปยังห้องซึ่งเป็นที่ตั้งเปลนอนของเทพีแห่งปัญญา เขาเปิดประตูแผ่วเบา เห็นร่างเทพีองค์น้อยนอนหลับใหล หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงสะท้อนแรงหายใจจึงค่อยโล่งอก
“แปลว่าไม่ได้มาหาอาธีน่า หรือจะมาหาท่านอาจารย์ ?” เปรยกับตนเองพลางบ่ายหน้าเข้าครัวด้วยฝีเท้าเร่งรีบ
แม้จะยังเด็ก แต่มูก็สัมผัสถึงคอสโม่แปลกประหลาดที่แอบแฝงอยู่ในแซงค์ทัวรี่ได้ชัดเจน เมื่อแรกเบาบางดั่งหมอกยามเช้าที่สลายไปเพียงต้องแสงตะวัน หากหลังจากการจุติของอาธีน่าและข่าวว่าท่านอาจารย์จะเลือกผู้เป็นเคียวโกคนถัดไป คอสโม่ดำมืดนั้นก็เจริญเติบโตขึ้นจนสัมผัสได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไอโอรอสและซากะ ผู้ชิงตำแหน่งเคียวโกทั้งสองมาเข้าเฝ้าชิออนในวิหาร
มูจะยังจับสัมผัสแน่ชัดไม่ได้ว่าคอสโม่นี้มาจากใคร เขาจึงไม่อยากปล่อยอาจารย์ไว้กับไอโอรอสหรือซากะตามลำพัง
ระหว่างรอให้น้ำในกาเดือด เด็กชายเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ยังทิศทางสู่ยอดเนินสตาร์ฮิล เขาเห็นร่างเงาของอาจารย์ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปเป็นเพียงจุดดำ โดยมีฉากหลังเป็นดวงดาวพราวพร่างตระการตา ยังสัมผัสคอสโม่ของท่านอาจารย์ได้อยู่
ศิษย์ตัวน้อยเลือกใบชาอย่างระมัดระวังใส่ในถุงผ้าขาวบาง จุ่มในน้ำร้อนจัดเพียงให้สีน้ำตาลอ่อนกระจายทั่วแล้วยกถุงขึ้น ท่านอาจารย์อยากจิบน้ำอุ่น ๆ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น มิได้ต้องการเครื่องดื่มที่ทำให้ท่านตาค้าง หลังจัดการเก็บใบและถุงชาเข้าที่ และดับไฟในเตาเรียบร้อยแล้ว มูก็ใช้ผ้าผืนหนาประคองกาน้ำชากระเบื้องซึ่งเป็นของขวัญจากสหายเก่าแก่ของท่านอาจารย์ แล้วออกเดินอย่างระมัดระวัง
มูวาดหวังไว้ อยากเห็นใบหน้าผ่อนคลายของท่านอาจารย์ยามจิบชา อยากได้ยินเสียงที่แม้แหบพร่าด้วยชรานัก หากยังคงอ่อนโยนและเป็นกันเองของท่าน บรรยายเรื่องกลุ่มดาวและเล่าเรื่องสหายร่วมทัพเมื่อนานมาแล้วให้ฟังอีก ทว่าจู่ ๆ คอสโม่สีดำน่ารังเกียจนั้นก็ปะทุขึ้น บดบังท้องฟ้าและหมู่ดาวบนยอดเนินสตาร์ฮิลเสียมิด
“ท่านอาจารย์!” ความวิตกในใจเด็กชายพุ่งสูงราวปรอทต้องความร้อน เขารวบรวมพลังจิตทั้งหมด เคลื่อนย้ายตนเองจากทางออกวิหารเคียวโกขึ้นไปตามเส้นทางยืดยาวของสตาร์ฮิล
ดวงดาวพร่าพรายบนฟ้าวาดลายกลายเป็นเส้นแสงเมื่อเขาเคลื่อนผ่านด้วยความเร็วสูง
คอสโม่ของท่านอาจารย์สั่่นไหว เกิดอะไรขึ้น !
เส้นทางสายน้อยดูราวกับจะยืดยาวออกไป ไม่ว่ามูจะรีบเร่งเพียงใด จะใช้พลังจิตอันแรงกล้าของตนช่วยส่งขนาดไหน แต่เขาก็รู้สึก รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าตนจะไปถึงไม่ทันกาล
อีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงยอดเนิน อีกนิดเดียว !
ทันใดนั้น คอสโม่ของท่านอาจารย์ก็กระพริบวาบราวกับเปลวเทียนไข แล้วดับไปในความมืด
เด็กชายเบิกตากว้าง สองมือ่อนแรงจนกาน้ำชาร่วงหล่นแตกกระจาย แต่เขาไม่สนใจ มันไม่สำคัญเลยหากเทียบกับความเป็นไปบนยอดเนินนั่น มูโจนทะยานจนสุดแรงเพียงก้าวเดียวก็ร่อนลงสู่ยอดเนินสตาร์ฮิล เขาเห็นร่างหนึ่งยืนหันหลังให้ ร่างสูงตระหง่านปกคลุมด้วยคอสโม่น่าหวาดหวั่น ร่างนั้นค่อย ๆ ผินหน้ากลับมาราวกับรับรู้ถึงตัวตนของเขา ดวงตาที่มองข้ามไหล่มาเป็นสีแดงก่ำดุจอาบย้อมด้วยเลือด และร่างที่อยู่เลยออกไป นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นดินด้วยดวงตาเบิกกว้าง ร่างนั้นทำให้เด็กชายถึงกับเข่าอ่อน
ท่านอาจารย์
แม้มองเพียงผิวเผินก็รับรู้ได้ว่าท่านสิ้นใจแล้ว ในวินาทีนั้น สมองของเด็กชายขาวโพลน อารมณ์ทั้งหมดสงบนิ่ง ก่อนทุกอย่างจะระเบิดออกมาประหนึ่งภูเขาไฟ
เขาจะสู้ จะล้างแค้นให้อาจารย์ เจ้าฆาตกรนั้นจะไม่ได้ออกไปจากสตาร์ฮิล !
ทว่าเมื่อมองกลับไปยังร่างซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยคอสโม่สีดำนั้น เพียงสบดวงตาสีแดงฉานที่มีแต่ความมุ่งร้ายและบ้าคลั่ง ไฟแห่งความอาฆาตของมูก็ถูกดับไป ทุกย่างก้าวของเจ้าฆาตกรหนักหน่วงไปด้วยคอสโม่อันคลุ้มคลั่ง แผ่พุ่งมาโอบล้อมรอบเขาไว้จนหายใจแทบไม่ออก รู้สึกราวกับร่างกายหดเล็กและแข็งทื่อ ความคิดสับสน
มันอะไรกัน ? นี่มันอะไรกัน !
ทันใด ในคอสโม่ดำทะมึนนั้น มือหนึ่งก็แหวกออกมาฉวยคว้าลำคอเขาไว้แล้วออกแรงบีบรัดจนหายใจไม่ออก นาทีนั้นไม่ว่าจะเป็นเซนต์หรือไม่ ไม่ว่าจะมีความรู้หรือวิชามากมายเพียงใดก็ล้วนไร้ผล เขากำลังจะตายหรือ... จะตาย เหมือนอาจารย์
ไม่ ไม่เอา ยังไม่อยากตาย ไม่เอา ไม่เอา
เด็กชายดิ้นรนสุดกำลัง สองมือปะป่าย พยายามแกะนิ้วที่กำรอบคอตนไว้อย่างสุดความสามารถ ทว่ามือทั้งสองกลับอ่อนแรงและสั่นเทา
ทำไมเล่า ? ทั้งที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าความตายกับเซนต์คือมิตรแท้ต่อกันเสมอมา
เขากำลัง...กลัว
ยามที่ตระหนักรู้นั่นเอง สัญชาตญาณสุดท้ายในตัวที่ยังทำงานอยู่ ก็สั่งให้เขาเทเลพอร์ตออกไป
หนีสิ หนีไป ! เรื่องอะไรจะถูกฆ่าอยู่ตรงนี้ หนีสิ !!
เมื่อมารู้สึกตัวอีกที ร่างของเด็กชายก็มานั่งกองอยู่บนบันไดระหว่างวิหารสาวพรมหจรรย์กับวิหารคันชั่งทองคำเสียแล้ว เด็กชายพยายามสูดหายใจเข้าออกให้ลึก ควบคุมสติอันกระเจิดกระเจิงให้เป็นหนึ่ง พยายามยืนด้วยสองขาอันสั่่นเทา พยายามก้าวไปตามทางสู่วิหารราศีกันย์
ความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาคือคำกล่าวโทษ เขากำลังหนีจากเจ้าสารเลวที่ฆ่าอาจารย์ น่าขายหน้านัก ไหนเล่าความภาคภูมิว่าตนเป็นเซนต์ผู้เก่งฉกาจ ไหนเล่าความฮึกเหิมในการประจันหน้ากับศัตรูคู่อาฆาต ยามวิกฤตเช่นนี้ สิ่งเหล่านั้นหายไปไหนหมด !
หากคำตำหนิก็หยุดชะงักไป เมื่ออีกความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา
เจ้าคนที่สังหารอาจารย์นั่นเป็นใคร แม้ยังอ่อนเยาว์แต่เขาก็ได้รับสืบทอดเกราะทองคำและตำแหน่งผู้พิทักษ์วิหารแกะขาวจากท่านอาจารย์มาแล้ว ฝีมือจึงย่อมไม่อ่อนด้อยเป็นแน่ ซ้ำยังเหนือกว่าเซนต์ทั่ว ๆ ไปอย่างทาบไม่ติด และโดยธรรมชาติแล้ว มูรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนขลาด แต่เจ้านั่นทำให้เขากลัวจนต้องหนีหางจุกก้น เทเลพอร์ตมาไกลถึงครึ่งทางขึ้นวิหารสิบสองราศี
เขาหยุดฝีเท้า นึกทบทวนความเป็นไปได้ทั้งหมด วิหารเคียวโกในยามนั้นไม่มีใครนอกจากอาธีน่าซึ่งยังเป็นทารก และบนสตาร์ฮิลก็มีเพียงเขากับอาจารย์ขึ้นไปดูดาวกันหลายชั่วโมงแล้ว ความเป็นไปได้จึงเหลือเพียงผู้มาเยือนจากทางวิหารราศีมีน แต่ร่างนั้นสูงใหญ่เกินกว่าจะเป็นร่างของเด็กสิบขวบเช่นอะโฟรไดท์ รวมทั้งคอสโม่สีดำที่สัมผัสได้นั่น แล้วเขาก็นึกได้ เขาเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าคนบุกรุกผู้น่ารังเกียจ
“ซากะงั้นหรือ” มูเอ่ยนามนั้นด้วยเสียงเบาหวิว ซากะที่เขารู้จัก คือคนที่เปี่ยมไปด้วยคอสโม่อันอบอุ่นและอ่อนโยน เป็นพี่ชายคนดีและเป็นคนพึ่งพาได้ มิใช่หรือ
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
คำทักเรียกให้มูรู้สึกตัวว่าตนยืนค้างอยู่หน้าประตูทางเข้าวิหารสาวพรหมจรรย์แล้ว ดังนั้นคนทักจึงเป็นใครไปมิได้นอกจาก
“ชากะ”
“เจ้าเห็นว่าซากะเป็นคนเช่นไร” มูเอ่ยขึ้นหลังรับถ้วยชาร้อนควันฉุยจากสหายที่สนิทที่สุดในแซงค์ทัวรี่
“คอสโม่ของท่านเป็นคอสโม่ที่ดี” ชากะตอบเช่นนั้นพลางนั่งลงบนเบาะรองนั่งตรงข้ามสหาย
โถงในวิหารราศีกันย์ว่างเปล่า มีเพียงสหายวัยเดียวกันสองคนนั่งประจันหน้า หากมูกลับรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจกว่าเมื่อครู่หลายเท่า กระนั้นคำตอบของชากะกลับทำให้เขาหนักใจ
“แต่คนดีก็เปลี่ยนเป็นคนไม่ดีได้ใช่ไหม”
“เมื่อครู่นี้ เราสัมผัสได้ถึงคอสโม่อันดำมืดครู่หนึ่ง” ชากะเดาใจสหาย “แต่มันต่างกับคอสโม่ของท่านซากะลิบลับ เราจึงไม่เห็นสิ่งใดเชื่อมโยงกัน”
มูเม้มปาก ไม่แปลกเลยหากชากะจะไม่เชื่อ เพราะเขาเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน บุรุษผู้ที่เขาเห็นเป็นพี่ชายคนหนึ่ง บัดนี้กลับสังหารอาจารย์ผู้ที่เขาเคารพรักยิ่งกว่าบิดา
...ท่านอาจารย์สิ้นแล้ว...
เมื่ออารมณ์อันพลุ่งพล่านสงบลง ความอาดูรก็ผุดขึ้นมา เอ่อท้นท่วมทั้งกายและใจ กลั่นกลายเป็นหยาดน้ำตาร่วงหล่น
จากนี้ไปจะไม่มีใครคอยชี้นำเขา ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ไม่มีคำตำหนิเมื่อทำผิด ไม่มีคำชมเมื่อทำถูก ไม่มีมือคอยลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู... ไม่มีอีกต่อไป
จากนี้ เขาจะเหลือตัวคนเดียว
"มู" เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองสหาย ชากะจึงตระหนักว่าเพื่อนรักกำลังร้องไห้ "เจ้าร้องไห้ ! เกิดอะไรขึ้น"
เซนต์ผู้พิทักษ์วิหารแกะขาวปาดน้ำตาที่ร่วงหล่นพลางส่ายหน้า สัมผัสอันหนักหน่วงรอบลำคอนั้นยังติดตรึงอยู่ในใจ หากเขาพูดออกไป ชะตาของเพื่อนจะเป็นอย่างไร... คงต้องมอดม้วยเช่นท่านอาจารย์มิผิดแน่ แล้วเขาจะพูดออกไปได้อย่างไร
เด็กชายค่อย ๆ ทรงตัวขึ้น เขาไม่รู้ว่าซากะทราบหรือไม่ว่าคนที่หายไปจากเงื้อมมือของมันคือเขา ไม่ทราบว่าซากะจะสัมผัสคอสโม่กระจ้อยร่อยของเขาในวิหารราศีกัยน์แห่งนี้ได้หรือไม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะกลับไปดักรอเพื่อสังหารเขาเสียในวิหารคนคู่หรือเปล่า สิ่งเดียวที่มูรู้ดีแก่ใจมีเพียงว่า... เขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
"มู" ชากะหันมองตามร่างสหายซึ่งเดินโซเซไปยังทางออกวิหารริศีกันย์ เขายังไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น ถึงทำให้แผ่นหลังที่เคยดูภาคภูมิกลับหมองเศร้าลงได้ในชั่วข้ามคืน หากเขาก็รับรู้สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งได้ ชากะยันกายขึ้นยืน "เจ้ากำลังจะไปสินะ"
ประโยคนั้นรั้งร่างของสหายตัวน้อยให้ยืนนิ่ง เพียงเห็นแผ่นหลังนั้น ชากะก็เข้าใจว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเอ่ยคำทัดทานหรือเหนี่ยวรั้งสหายเอาไว้ได้ เขาจึงทำสิ่งเดียวที่ทำได้ "เช่นนั้นข้าจะคอยเฝ้าดูคอสโม่อันดำมืดนั่นแทนเจ้าเอง" เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น หากหวังว่าความนัยซึ่งแอบแฝงอยู่จะสื่อไปถึงสหายด้วย
...เขาจะเฝ้ามองดูอยู่ที่นี่ จะไม่จากไปที่ใด เพื่อที่สักวัน เมื่อเจ้ากลับมา จะได้อุ่นใจว่ายังมีเพื่อนคนนี้รอต้อนรับ...
"ขอบใจนะ ชากะ" มูผินหน้ากลับมาเพียงเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวที่มองสบมาสื่อความทราบซึ้งจากใจ "และก็ลาก่อน"
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ชากะได้เห็นเพื่อนรักในวัยเจ็ดปี
ผลงานอื่นๆ ของ CeruleanBrine ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ CeruleanBrine
ความคิดเห็น